Tuesday, December 01, 2009

บทวิจารณ์ระบบสัมนากลุ่ม

ในประเด็นนี้ขอพูดถึง ระบบสัมมนากลุ่ม ที่นิยมนำมาใช้ในการเรียน Master หรือ Ph.D. ที่เน้นไปที่การทำวิจัย โดยนักศึกษาแต่ละคน จะมีหน้าที่ในการนำเสนอความก้าวหน้างานวิจัยของตัวเอง แก่อาจารย์ หรือนักวิจัยรุ่นพี่ เพื่อที่จะได้รับคอมเมนต์แล้วนำไปปรับแก้ งานของตัวเอง หรืออาจจะมีการถกเถียง รับความรู้เพิ่มเติม ที่คนอื่นอาจจะรู้ แต่เราไม่รู้ อันจะก่อให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้ (knowledge transfer) และอาจรวมไปถึงการสร้างไอเดียใหม่ๆ เพื่อจะได้นำไปศึกษาต่อได้

ส่วนสำคัญที่จะทำให้การสัมมนาสำเร็จผลนั้น นอกจากเนื้อหาแล้ว รูปแบบการสัมมนา ก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ที่จะทำให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้อย่างเต็มที่ ผมอยากจะลองแชร์ข้อดีข้อเสีย ของรูปแบบการสัมมนาในแบบต่างๆ ให้ได้เห็นกัน

แบบที่ 1  ผู้นำเสนอผลงานทุกคน ต้องนำเสนอผลงานทั้งหมด อาจจะใช้เวลาทั้งวัน หรือ 2-3 วัน และความถี่การนำเสนอ อาจจะหนึ่งเดือนครั้ง

ข้อดี:  ทุกคนเท่าเทียมกัน เวลาทำงานเท่ากัน เวลาจะเฮฮาก็พร้อมกัน เวลาเครียดก็ใกล้เคียงกัน เหมาะสำหรับ Lab ที่ Prof ค่อนข้างยุ่ง มีเวลาน้อย และ Lab ขนาดใหญ่ ที่นัดสมาชิกยาก หรือ Lab ที่มีคนทำงานมาเรียนเยอะ 

ข้อเสีย: เนื่องจากเวลาที่แต่ละคนต้องพรีเซนต์ต่อกันไปเรื่อยๆ และความล้า จากการนั่งฟังงานวิชาการที่ยาวนาน อาจจะลำบากในการให้ comment ลงรายละเอียด รวมถึงคนที่ต้องพรีเซนต์ก็อาจกังวลเรื่องการนำเสนอของตัวเอง ทำให้ไม่ได้ตั้งใจฟังงานของคนอื่นเท่าที่ควร คนที่จะให้คอมเมนต์ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ก็จะเป็นคนที่ไม่ได้พรีเซนต์ (ซึ่งส่วนใหญ่หมายถึงอาจารย์)

แบบที่ 2  นำเสนอผลงานแบบวนกันไป ครั้งหนึ่งอาจจะ 1-3 คน เพื่อให้กินเวลาจำกัด ประมาณ 3-4 ชั่วโมง และทำเป็นประจำทุกสัปดาห์

ข้อดี:  เกิดการ discuss กันอย่างกว้างขวาง เพราะผู้ที่ไม่ต้องรับผิดชอบนำเสนอผลงาน จะไม่เกิดความกังวลใจ ลงรายละเอียดได้มากกว่าแบบแรก มีโอกาสที่จะกระตุ้นตัวเองให้ทำงานอยู่ตลอดเวลามากกว่า เนื่องจากมีสัมมนาในทุกอาทิตย์ 
  
ข้อเสีย: ใช้เวลามากกว่าปกติ บางคนอาจจะขาดการสัมนาบ่อยกว่าแบบแรก เพราะอาจจะไม่สะดวกในทุกๆ อาทิตย์ เหมาะกับแลบที่คนไม่เยอะมากนัก ที่จะทำให้การนำเสนอของแต่ละคนในครั้งนี้ กับครั้งถัดไป ไม่ขาดตอนนานเกินไปนัก

แบบที่ 3 สัมมนาแบบกลุ่มย่อย จัดแยกกลุ่มคนนำเสนอ ตามหัวเรื่องที่สนใจ 

ข้อดี: ลงรายละเอียดได้มาก สามารถให้ความรู้ได้เจาะลึก เฉพาะเรื่องลงไป สามารถเชิญผู้เชี่ยวชาญนอก Lab ในสาขานั้นมาร่วมด้วยได้ หรือจะมีการจัดสัมมนาในรูปแบบอื่นร่วมด้วยได้ เช่น การทำ workshop, การอภิปรายเกี่ยวกับวิธีการทดลอง, การหาข้อมูลร่วมกัน  หรือ อาจจะสัมมนาในรูปแบบ project ที่ทุกคนมีจุดประสงค์หลักร่วมกัน แล้วแบ่งแยกย่อยปัญหาให้แต่ละคนรับผิดชอบ 
 
ข้อเสีย เปลืองเวลามากที่สุด ใช้พลังงานสมองค่อนข้างมาก ต้องมีทีมเวิร์คที่แข็งแรง


ส่วนแบบไหนจะดีที่สุดนั้น ผมไม่ขอฟันธง เพราะคงต้องขึ้นอยู่กับ Lab และสมาชิก
ว่ามีธรรมชาติเป็นอย่างไร แบบไหนที่จะทำงานแล้วรู้สึกสบายใจที่สุด

แต่จากประสบการณ์ส่วนตัวของผมนั้น ไม่ว่าแบบไหนก็ตาม
แต่ถ้าทุกคนได้มีโอกาสคุยกันมากขึ้น ปรึกษากันมากขึ้น
นำปัญหาที่เกิดในงานตัวเอง มาแชร์ มาทำให้ทุกคนรับรู้ว่าเป็นปัญหาร่วมกัน
ที่ควรต้องร่วมกันแก้ไข น่าจะเป็นการทำงานทีื่สร้างแรงจูงใจในการทำงานให้สนุกกันมากขึ้น
เพราะเมื่อทุกคน จริงใจ และสนิทใจ ที่จะทำงานร่วมกันแล้ว อุปสรรคใดๆ ก็คงฝ่าฟันไปได้ . . .

3 Keys to avoid the failure

If we assume that human is the same as natural.
There are three things that you need to consider if you want to avoid the failure of anything you would do.

When is the appropriate time to do the thing?
Who is the most important person that we should work with?
What is the important mission that we should do all the time?

The answer is quite simple and impressive.
"Present" is the most important time.
The most important person is the "person in front of us."
And, "To make the person in front of us feels happy" is the most important mission that we should do.

Practicing yourself to live the life in the present, with the surrounding people and nature 
is a thing that we should do by "mindful mediation."

Whenever someone get in troubles, their mind are full of bad thing. if they were trying to wash those bad thing from their mind, it is equal to increase those bad thing to their mind again and decrease pure mind. Look at those bad thing and do not trying to do anything. Let the law of energy wash them. By this way, They will be able to keep their power before they lost. 

Tuesday, November 24, 2009

ชีวิตที่หยุดหมุน

ในความเป็นจริง ชีวิตเราต้องหมุนอยู่เสมอ
หมุนไปสู่ความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ที่เราจะได้พบเจอ

แต่ปัจจุบัน ผมรู้สึกได้ถึงชีวิตที่หยุดนิ่ง ของตัวเอง
ไม่ก้าวเดินไปไหน ไม่มีแรงชักจูงนำพาลากไป ไม่ไขว่คว้าหาทางหมุนตัวเอง

แค่เพียงผมหยุด คนทั้งโลกก็เดินก้าวนำหน้าเราไปแล้ว
เพราะโลกและกิจกรรมบนโลก ดำเนินอยู่ตลอดเวลา

ที่รู้สึกอย่างนี้ เพราะเห็นชีวิตคนรอบข้างหลายๆ คน
มีการเปลี่ยนแปลง ที่ทั้งผมรู้สึกว่าสิ่งที่เปลี่ยนนั้นมีทั้งดีขึ้นและด้อยลง
แต่นั่นก็ถือว่าได้เปลี่ยนแปลง ได้ก้าวข้ามผ่านสิ่งซ้ำๆ ไปอีกก้าว

บางคนได้งานใหม่ บางคนรูปร่างหน้าตาเปลี่ยนไป สวยขึ้น แก่ลง
บางคนนิสัยก็เปลี่ยนไป บางคนเปลี่ยนจากนักเรียนเป็นคนทำงาน 
หรือบางคนเปลี่ยนจากทำงานมาเป็นนักเรียน สิ่งเหล่านี้ล้วนเปลี่ยนชีวิตพวกเขามากมาย
แต่ผมกลับรู้สึกว่า ตัวผมนั่นแหละเป็นคนที่หยุดชีวิตของตัวเอง ...

ผมรู้สึกตัวผมนั้น หยุดนิ่งมาชั่วขณะหนึ่งแล้ว
ทั้งเรื่องงาน เรื่องชีวิต และเรื่องปัญญา
คงต้องถึงเวลาบูรณะใหม่ ที่จะไม่ผลาญเวลาในชีวิตให้หมดไป อย่างไร้ค่า
ใช้แต่ละเสี้ยวนาที ผลักดัน ให้ชีวิตก้าวเดินต่อไป อย่างมีคุณค่า และมีสติ 

ยังมีความสนุกตื่นเต้น รอเราอยู่อีกมากนักนะ ชีวิตนี้

Thursday, November 12, 2009

เรื่องของคน

คนจะงาม งามที่ใจ ใช่ใบหน้า

คนจะสวย สวยจรรยา ใช่ตาหวาน

คนจะแก่ แก่ความรู้ ใช่อยู่นาน

คนจะรวย รวยศีลทาน ใช่บ้านโต

อยู่อย่างขาดฝัน มันจะทรมาน

Wednesday, November 04, 2009

Loneliness, a state of mind

When I was in my home country. I did not quite get quiescece of activities in my office. Almost everyday had been bursting with activities – the phone ringing endlessly, the guests coming every hour and the printers working overtime – I would think I am working in a New York stock market. 

The thing had changed since I moved to work in Zen-style, way of life, country. Everyday like today when it is so quiet that you can hear a pin drop from a far distance. And it is on days like today – so quiet – that I am overwhelmed with the feeling of loneliness. I am in doubt whether it is caused by a nature of East world or a kind of job where everyone has a separated work and need no communication.

Although I have a bunch of work to finish, I have no concentration to work on them since all of then need idea and inspiration. I inevitably turn to a useless-for-work activity – blog-hopping. I find myself in awe with a blog of Tale of Psychological Damage. The author wrote that “you are lonely because you are too focused on your loneliness.” I was dumb struck. That seems to be true! Do I feel lonely right now because I am too focused on the loneliness?

A long for those days, I was so busy. I could hardly answer personal phone calls while I spent whole of my concentration on doing work. And so lunch time was a break that I looked forward to after a friendly banter with friends as what we should eat or discussing humorous topics. Nowadays, I occasionally have boring lunch with colleagues. Sometimes I don’t even bother with lunch at all. How pathetic can that be! I could not be entertained by the topics or give a funny talk as I used to do. My motivation of learning new language had also disappeared. No one except me that should be blamed since my poor skill. I hardly understand what they said. Sometimes, I could not catch even the mentioned words that I would take them for searching the meaning later after lunch as I used to do. Speed, intonation, accent, expression or whatever the cause is, it reduces my self-esteem and makes me feel apart from a group day by day. Uncomfortable situation while you are sitting in a world that you do not hear anything and have to guess all the time consumes a large energy more than expecting.

Forget about those things and switch back to my loneliness. I found out the quote, “Loneliness, lonesome and solitude is a state of mind. Dwell in it if you dare, the abyss of depression would come uninvited. Depression another humongous reserve of unexplained behaviors known to man would slowly rear its ugly head if we stay there too long.”

Theoretically, loneliness is a state of mind. Just like smoking, you intend to quit depends on your state of mind. Can you dictate your state of mind then? I will try although I finally end up with I cannot. At least, I will let not this loneliness lead to depression again. I will make peace with it. The same way I make peace with things I can’t change.

Enjoy the day folks.


Thursday, October 29, 2009

When the sky turns blue


After hard storm, the sky will be so blue and clear. Actually, the sky is normally being like this color since the world begins, but we cannot see its beautifulness until the the dreadful disaster happened. 

It is the same as our life. We will not recognize the real value of the possessed thing until we lost it. How do human beings usually be so late on recognizing their values of life? And, how do we human beings survive such suffering and thrive in spite of it? 

Wednesday, October 28, 2009

Dear Friend


Dear friend,

I am thinking of you so much.
I thought that you will stay beside me forever and sharing happiness together
as long as we still alive, but it is not true . . .

You departed from my life and it is not your fault.
You walked away from my way not because of your desire, 
but because I chased you.
You used to come to say hi and visit me sometimes,
but I denied to see you.

Now, I realize that I need you. I want you to be by my side as before.
When you were with me, I could do everything as I want happily.
I could master my life as I want when I was think of that I will meet you in soon.
I can lessen my diffidence and insecureness when you are in my mind.

Oh... Come on! Please come back to me.
I need my dear friend back, MOTIVATION.

[my poetry]

Saturday, July 18, 2009

วันหยุดสามวัน


โอ้ แม่เจ้า...
วันนี้พึ่งสำนึกตัว ว่า ส. อา. จ. นี้หยุดยาวติดกันสามวัน 
ตามปกติ วันจันทร์ที่สามของเดือน ก.ค. นี้ เป็นวันของญี่ปุ่นที่เรียกว่า
uminohi หรือวัน(ผี)ทะเล 
จริงๆ แล้ววันทะเล เป็นวันที่ 20 ก.ค. แต่เพิ่งมาเปลี่ยนที่หลังตามกฎหมายในปี 2003

ไม่มีอะไรมาก วันนี้เป็นสัญญาณของการเข้าหน้าร้อน
เป็นวันเปิดทะเล ที่คาดว่าทุกคนต้องไปทะเลกันอย่างล้นหลาม 
(เราก็เลย ไม่ไปทะเลดีกว่า เพราะกลัวตากุ้งยิง แหะๆ)

กลับมาๆ เข้าเรื่องวันหยุดสามวันก่อน
ไม่มีแพลนอะไรพิเศษเลยอ่ะ นอกจากวันอาทิตย์ 
ทำไรดีหนอ หรือจะเขียนโค้ดทำวิจัย ให้เซนเซย์ปลื้มดี 
(หุหุ ไม่ได้มีตติ้งกับเซนเซย์มาจะร่วมปีนึงแล้ว คงเกลียดขี้หน้ากันแล้วเนี่ย)

เห็นชาวบ้านในแลบ บางคนก็ไปปีนเขา บางคนก็ไปแคมป์ปิ้ง
อ่อ เสาร์นี้มีฮานาบิ(ดอกไม้ไฟ)ด้วย งานแรกของโตเกียวเลย 
แต่งานเล็กไปหน่อย มีพลุแค่ 12000 ดอกเอง 
อาจจะไม่คุ้มกับการลากสังขารไปเบียดเสียดผู้คน 

ไว้ถ้าคิดได้แล้วจะมาบอกว่าจะไปไหนดีละกัน 
(คาดว่ามัวแต่คิดวันหยดก็ผ่านไปหมดแล้วแน่เลย เอิ้กๆๆ)

Wednesday, July 15, 2009

เล่าบ้าง

เมื่อวันจันทร์มีเพื่อนที่น่ารักคนนึง
ร่าเริงแจ่มใส สดชื่นตลอดเวลา อีเมลล์มาเล่าเรื่องราวให้ฟัง
อ่านแล้วมีความรู้สึก อบอุ่นสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก
เลยคิดว่า เออ เราก็น่าจะหาเรื่องมาเล่าเก็บไว้เหมือนกันนะ

อย่างน้อยไม่มีใครอ่าน เราก็จะได้ตระหนักว่าเราทำอะไรไปบ้างวันๆ นึง
ไม่ปล่อยเวลาให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์
หาประสบการณ์ สิ่งใหม่ๆ และความสุข ใส่ชีวิตไปในทุกๆ วัน นี่แหละมั้งคือชีวิตที่มีค่า

เมื่อวานกลับบ้านเร็ว (ทุ่มนึง 55 นี่ถือว่าเร็วแล้ว)
เลยคิดจะไปเดินเล่น outlet แถวบ้าน
มันเป็นสถานที่เดียว ที่อยู่ใกล้แถวนี้แล้วล่ะ ที่ดูจะมีผู้มีคนมากที่สุด

อ้อก่อนไปแวะร้านเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน ชื่อว่า Nitori ก่อน
นิโตริ จะสังเกตง่ายมาก เพราะจะเป็นป้ายเขียวสดใสอันเบ้อเริ่ม
ซึ่งถ้าหล่นมา คงมีคนโดนทับตายแน่นอน เพราะป้ายมันสูงกว่าตึกสามชั้นอีก
อ้อแต่มันเขียนด้วย katakana อ่ะนะ ต่างด้าวคงอ่านไม่ออก
เอาว่าถ้าเห็นป้ายเขียวๆ แจ๊ดๆ อันเบ้อเริ่มๆ ให้สงสัยว่า มันคือร้านเฟอร์นิเจอร์ละกัน

ไม่รู้เป็นอะไร ชอบดูห้องนอน ห้องครัว ห้องนั่งเล่น ที่เค้าจัดไว้เป็นเซตๆ ตามร้านเฟอร์นิเจอร์แฮะ
ในใจก็อยากจะได้แบบนั้นแบบนี้ แต่พอเอาเข้าจริงๆ ถึงเวลาซื้อ ดันเสร่อไม่ซื้อตามที่อยากได้
มัวกังวลโน่นนี่ ว่าย้ายออกแล้วจะทำไง เท่านี้ก็อยู่ได้แล้ว สิ้นเปลืองทำไม ฯลฯ
ห้องที่อยู่ปัจจุบันนี้เลยไม่ได้ตามที่อยากได้เลย - -!
แต่ก็นะ ซื้อของดีไป ก็ใม่ได้ใช้ตลอดอ่ะนะ อยู่นี่แค่ไม่นานเอง

เมื่อวานสงสัยเครียดจัด เดินมันทุกชั้นเลย แต่ไม่ได้ซื้อของใหญ่อะไรหรอกนะ
กะอยากได้เตียงเหมือนกัน กะจะเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ดูบ้าง
แต่ชั่งใจไปมา ก็ไม่ได้ซื้อ (จนจะกลับไทยละ)
อยู่จนเค้าปิดห้างเลยทีเดียว ประมาณ 19:45
ได้ของมาอย่างเดียว มันคือ ถุงเก็บฟุต้ง ที่ทำเป็นสุญญากาศได้
โดยดูดลมออก แล้วฟุต้งจะแบนมากๆ ไม่เปลืองที่เก็บ

หลังจากนั้นก็(ขี่จักรยาน)ไปต่อที่ outlet mall ชื่อ minami machida
อันนี้ก็คล้ายๆ outlet ทั่วๆ ไปมีแบรนด์ต่างๆ เยอะอยู่
ที่น่าสนใจคือเดือนเจ็ด มันเป็นต้นๆ หน้าร้อน
ก็จะมีของ sale เหมือนช่วงปีใหม่

เดินๆ ดูเห็น Gap ลด 70% กะจะสอยกางเกงขาสั้นซะหน่อย
มีกางเกงขาสั้นหุ่นใส่ แบบนึง อยากได้
มองหาแถวๆ นั้น เห็นเซลล์อยู่เหลือ 2900 ตาลุก ลายผ้าเหมือนกันเป๊ะ
ทรงเหมือนกันเป๊ะ มีกระเป๋าเล็กที่แถวๆ น่องบนเหมือนกันเป๊ะ
แต่มันขายาว !!!
เลยงงๆ ว่าอ้าว นี่ให้ซื้อไปตัดขาเองเหรอฟะ เลยเดินไปหาที่อื่นอีก
เจอแล้วๆๆ ขาสั้น พอดูราคา 6900 อยู่ในกองเซลล์ 20%
ง่ะ... คุณหลอกดาว แค่ตัดขาเนี่ยนะ ราคาต่างกันเป็นเท่าๆ เลย

เลยเลิกล่ะ ไม่ซื้อมันซะเลย กลับบ้านดีกว่า
คนขายเข้ามาทัก จับใจความได้ว่า เพิ่งกลับบ้านจากทำงานเหรอคะ
เรามีเสื้อแขนสั้นเซลล์ด้วยนะคะ (พอดีใส่เชิ้ตแขนยาวไป) ลองดูสิคะ
เลยบอกว่า ตรูอยากได้กางเกงขาสั้นเฟ้ยย ทำไมไม่เซลล์.... ในใจ
แต่ก็ยิ้มๆ แล้วก็พยักหน้าหงึกๆ แล้วเดินจากไป

เมื่อวานก็หมดเท่านี้ล่ะมั้ง
อ้อ ทำฟักต้มกระดูกหมูกินด้วยนะ เมื่อวาน อร่อยใช้ได้ทีเดียว
ช่วงนี้ไม่มีเพื่อนไปกินข้างนอกละ ต้องดิ้นรนทำกับข้าวเอง
อ่อ นอนเร็วด้วยเมื่อคืนห้าทุ่มนิดๆ ได้ ตื่นซะสายเลย เก้าโมง
ไว้จะปรับปรุงตัวใหม่ละกันนะคร้าบบบ

Thursday, June 18, 2009

นับต่อ


ผ้มมมกลัวมันจู

วันนี้เรียนภาษาญี่ปุ่น มีโจ้กเรื่อง "มันจูโคไว่" หรือ "กลัวมันจู"

แสดงให้เห็นถึงโจ้กที่มีวัฒนธรรมของประเทศนี้ ว่าอ้อเค้าตลกกันยังนี้นี่เอง

เรื่องสั้นๆ มีอยู่ว่า

นาย ก. บอกว่าตัวเองกลัวสิ่งของอย่างนึงมากๆ นั่นคือ มันจู

นาย ข. อยากแกล้ง นาย ก. เลยไปซื้อมันจูมาเยอะแยะเลย

นาย ก. บอกว่า กัวววว กัววววมาก  kowai kowai  tatsuketekure! ช่วยด้วย

แล้วหลังจากนั้น นาย ก. ก็กินมันจูหมดเกลี้ยงเลย

นาย ข. ถามว่า อ้าวกลัวแล้วทำไมกินทั้งหมดล่ะ

นาย ก. ตอบเขินๆ ว่า อ้าวก็กลัวไง เลยไม่อยากเห็น เลยกินเข้าไปให้หมด
แล้วก็ตบท้ายว่า  ครั้งหน้า กลัวชานะ !!

http://www.youtube.com/watch?v=sYhtNCBg2NM

ผมใช้เวลาโปรเซสประมาณหนึ่งทีเดียว ถึงพอเข้าใจว่า อ้อ โจ้กญี่ปุ่นเป็นงี้นี่เอง
ของไทยก็มีคล้ายๆ กัน มันคือมุขตลกรับประทานนั่นเอง ^__^

Wednesday, June 17, 2009

ระบายสมอง

ช่วงนี้เครียด อย่างเห็นได้ชัด
รู้สึกว่ามีอะไรกระทบจิตใจมากมายเหลือกัน เลยสงสัยว่าจะอยู่รอดต่อไปได้อย่างไร

หาวิธีระบายเครียดดีกว่า ด้วยการเขียนนี่ล่ะ
ปัญหาคือ เขียนอะไรดี

เขียนบ่น?
เขียนด่า?
เขียนชม?
หรือเขียนไร้สาระ

สรุปว่า เรื่องที่จะเขียนก็คิดไม่ออก ว่าอย่างไหนระบายเครียดได้ดีที่สุด
เอาเป็นว่า เขียนเท่านี้ ก็เริ่มระบายๆ ออกมาล่ะ
ว่าตอนนี้กำลังเครียดอยู่นะคุณสมอง ร่างกายกำลังจะแย่
ถ้าบำบัดได้ คิดบวกเข้าไว้ จงทำซะแต่วันนี้ มิฉะนั้นโรคจะถามหาในเร็ววัน

คิดได้วันนี้ พรุ่งนี้ก็ลืมอีก เครียดใหม่อีก - -"
อุบ๊ะ คนเรานี่จะหลุดพ้นเมื่อไหร่กันหนอ
งั้นเอางี้ วันนี้นับหนึ่งละกัน เราจะมาลองดูว่าเครียดเรื่องเดิมๆ สักกี่วัน ??

ปล. คนเขียนไม่อยากให้คนอ่านเครียด
       ดังนั้นหาวิธีอ่านที่ทำให้ท่านไม่เครียดให้ได้นะครับคุณๆ

Thursday, June 11, 2009

เพื่อให้ทุกๆ วันมีเรื่องให้คิด

การเขียน blog หรือ diary ก็มีข้อดีเหมือนกันนะ
มันทำให้สมองได้จดได้จำ ได้ใช้เนื้อที่ความจำเพื่อหาประเด็น มาเขียน มาถ่ายทอดต่อไปได้
ทั้งยังช่วยให้สังเกตสิ่งเล็กๆ น้อยๆ รอบตัว แล้วจับมาเป็นความสุข
ในแต่ละวันของชีวิต เพื่อให้ชีวิตเดินต่อไปอย่างสดใสได้ด้วย

ดังนั้น ผมจะพยายามมาเขียนนะคร้าบ เริ่มทีละนิดละหน่อยละกันครับ

วันนี้เจอคำว่า Caffè Si Bar  ในโรงอาหาร มันเป็นป้ายโปสเตอร์ติดที่ตู้กาแฟ
จริงๆ เห็นมานานแล้วล่ะ แต่ไม่มองผ่านๆ ไม่ได้รู้สึกฉงนอะไร 
แต่วันนี้ เนื่องจากไม่มีประเด็นพูดบนโต๊ะอาหาร และตำแหน่งที่กระผมนั่งนั้น
อยู่ในมุมมองป๊ะแหมๆ กับเจ้าคำนี้พอดี เลยหยิบเอามาถามที่โต๊ะกัน

สรุปว่า ไอ้เจ้าคำนี้มันเป็น ภาษาอิตาเลียน (โอ้ แม่เจ้า นึกว่าฝรั่งเศส)
มันก็คือ Coffee นั่นแล แล้วเจ้า Si ก็เป็นตัวที่ใช้กับสรรพนามที่ไม่เฉพาะเจาะจง
ซึ่งจะทำให้ความหมายต่างๆ กันไป เช่น ประธานถูกกระทำ 
หรือแปะไว้กับประธานที่ไม่เฉพาะเจาะจงเฉยๆ ก็ได้

เริ่มยากล่ะ เอาแค่นี้ดีกว่า

อ้อ เกร็ดความรู้หน่อยนึง coffee นั่นสันนิษฐานว่า น่าจะมีต้นกำเนิดมาจากคำว่า「Kaffa」 
ซึ่งเป็นพื้นที่หนึ่งในเอธิโอเปีย ที่เป็นแหล่งกำเนิดของกาแฟ นะคร้าบ

Thursday, February 12, 2009

Language discrimintation and Individuality

The things I have learned from the current life.

Tuesday, January 27, 2009

ภาษาไม่พร้อม ยังเสร่อเม้าท์ภาษาญี่ปุ่นอีก

วันนี้อารมณ์ชิลๆ เดินลงไปที่ห้องแลบ
ปรากฎว่าเค้าไปเซมิกันหมด เหลือคุณเลขาคนเดียวในห้อง
เลยชวนเม้าท์อย่างเมามัน - -" แต่คุณเลขาพูดแต่ญี่ปุ่นนะ
จับใจความได้กระท่อนกระแท่น เรื่องที่คุยมีดังนี้ 

- เปิดประเด็นเรื่องหิมะตกเมื่อวันเสาร์ก่อนเลย ถามว่าเห็นมั้ย
  ซึ่งแน่นอนว่าเธอไม่เห็น (ถ้าผมอยู่นอกบ้าน ผมก็ไม่เห็น)
  เธอบอกว่าจากทีวีบอกว่า แถวโยโกฮาม่าบนเขาโน่นตกเยอะ .... อื้มเราฟังรู้เรื่องด้วยแฮะ
  ก็เลยถามต่อว่า ปีนี้คิดว่าโตเกียวหิมะจะตกไหมครับบบ
  เธอก็ว่า ปกติมันจะตกเดือนหนึ่งนะ นี่ก็จะสิ้นเดือนแล้ว อาจจะไม่ได้เห็น แต่จริงๆ เดือนสองหนาวสุดนะ

- คุยกันเรื่องซูโม่ที่เพิ่งแข่งจบไป
  คุณเลขาใจดี เล่าให้ฟังว่า คุณพ่อคุณแม่เค้าเคยไปดู เค้าจะมีการจัดอาหารเซตไว้ให้ มีนาเบะมีของกิน
  เหมือนไปชมโชว์ยังไงยังงั้นเลย แต่ราคาแพงน่าดูเลยทีเดียว 
  เราก็ถามเค้าว่าซูโม่เนี่ยต้องเป็นแต่เด็กหรือเปล่า เค้าว่าไม่หรอกมั้ง ก็คงต้องจบโรงเรียนมัธยม
  หรือจบมหาวิทยาลัยมาก่อนแล้วค่อยฝึกเป็น แล้วซูโม่ก็ต้องกินเก่งๆ ด้วย ดีเนอะ อาชีพนี้ กิน นอน ฝึก
  แต่เค้าก็บอกว่า ชีวิตพวกนี้ก็ลำบากนา เหมือนกีฬาชนิดอื่นๆ แหละ ที่ต้องฝึกฝนกันเยอะๆ ถึงจะได้เก่งๆ

- เค้าถามต่อว่า แล้วเมืองไทยล่ะ กีฬาอะไรที่ดัง เราก็บอกนี่เลย มวย...
  เค้าเล่าว่า น้องสามเค้าก็เคยฝึกมวยล่ะ อยู่สักพักนึง (เริ่มแปลไม่ออก) แล้วเค้าก็มีแฟน 
  แต่ผู้ชายกลัวผู้หญิงที่เป็นมวย ... เลยไม่ค่อยกล้าเท่าไหร่ กลัวจะทำอาหารไป ทุบตู้ไป O00O
  หรือถ้าทะเลาะกันก็กลัวถูกทุ่ม น้องเค้าเลยเลิกฝึกมวย หันมามีสามีดีกว่า  เง้ออออ 
  (เม้าท์ขนาดนี้ได้ไงนี่ผม)

- พูดไปพูดมา เลยถามเรื่องเงินค่าเครื่องบินคอนเฟอเรนซ์ซะเลย ก็สรุปว่า เงินยังไม่เข้า
  เธอก็ช่วยเช็คให้ใส่ใจอย่างดีเลย เนื่องจากไม่ใช่อะไรหรอก เงินมันเยอะกลัวจะหมุนไม่ทัน เหอๆๆ
  หน้าด้านจริงๆ ผม ฮ่ะๆ รู้ทั้งรู้อยู่ว่าเค้าเร่งทำให้ตาม process อยู่แล้วไม่มีตกบกพร่อง ก็ยังจะถามอีก
  จริงๆ ก็หาเรื่องคุยล่ะ แล้วบอกว่าเนี่ยถ้าเงินไม่เข้า เราจะไม่มีเงินไปเที่ยวน้ะ
  (ศัพท์ที่พูดไปนี่ห่วยสิ้นดี มั่วมาก แต่เค้าก็พยายามเข้าใจเราอ่ะนะ ....เมตตาสุดๆ)
  เลยถามเรื่องงบของมหาลัย ว่ามันเป็นยังไงเหรอ ก็รู้ว่ามันมีเป็นสองส่วน 
  ของเราส่วนแรกคือเงิน JSPS ที่เข้ามหาลัย ชิเอคิง? ไปคอนเฟอเรนซ์ ใช้ไปโน่นนี่
  อีกส่วนคือสำหรับนักวิจัยอ่ะ เคงคิวโชคิง? ซึ่งปีนี้จะตัดเดือนสามนี่ล่ะ อีกประมาณสองแสนเยน 
  เดี๋ยวว่าจะต้องซื้ออะไร ซะหน่อยล่ะ

ที่เล่ามาทังหมดนี่ ไม่รู้นะว่าแปลถูกป่าว แต่คุยสนุกมาก มีหัวเราะเฮฮา 
(ทั้งๆ ที่ยังงงบางเรื่องว่าแปลว่าอะไรหว่า)
ถ้าภาษาดีกว่านี้ คงคุยกันสนุกกว่านี้ล่ะเนอะ

เอ้า จะเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นจริงจังได้ซะทีหรือยัง ??? !!

Monday, January 26, 2009

Three Things in Life

Three irrevocable thing in life are
Word
Time ...
And chance

Three undeniable thing in life are
Serenity
Honesty
And hope


Three gems of life are
Love
Self-esteem
And true friends

Three uncertainties in life are
Dreams
Success
And fate

Thee things that deteriorate life are
Arrogance
Liquor
And anger

Kind hearts are the garden
Kind thought are the root
Kind words are the blossoms...
Kind deeds are the fruits

Wednesday, January 21, 2009

New Year's Resolution

เริ่มปีใหม่ เปิดศักราชใหม่แล้ว
มาขอดูหน่อยสิว่า ปีที่ผ่านมา มีอะไรผ่านมาในชีวิตบ้าง แล้วจะปรับปรุงแก้ไขยังไงในปีนี้

1. อารมณ์
ปีที่ผ่านมา เสถียรภาพทางอารมณ์อยู่ในขั้นวิกฤต มีการเปลี่ยนแปลงเยอะ
แต่ถือได้้ว่าดีกว่าปีก่อนๆ สมัยที่ยังเรียนเอกอยู่ มีการพัฒนาอารมณ์ให้เสถียรขึ้นเกิน 30%
แต่ก็ยังไม่ถาวร เป็นได้ชั่วครั้งชั่วคราว เป็นพักๆ อารมณ์ที่ทำให้เกิดความไม่เสถียร ได้แก่
- กลัว: กลัวเรื่องงาน เรื่องเพื่อน เรื่องอนาคต
- กังวล: ตามมาติดๆ กับความกลัวเลยทีเดียว จะกังวลว่านั่นโน่นนี่จะไม่เสร็จ ไม่ปล่อยวางแต่ละเรื่องสักที เอากลับมาใส่หัวอยู่เรื่อยๆ
- สมาธิ: จริงๆ แล้วสมาธิไม่ใช่อารมณ์หรอก แต่การที่มีความแปรปรวนทางอารมณ์ทำให้ไม่มีสมาธิ จดจ่อกับสิ่งที่ทำไม่ได้
อันนี้ต้องแก้ไขโดยด่วน มิฉะนั่นจะทำงานไม่ได้ และทำอะไรไม่ได้ดี

2. เพื่อนฝูง
ปีที่ผ่านมา ปริมาณเพื่อนฝูงเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ได้มีโอกาสทำงานสาธารณะ
รู้จักกับคนเก่งๆ ฉลาดๆ หลายๆ คน เปิดโลกทรรศน์ให้ตัวเองได้มาก แต่อย่างไรก็ตาม
เพื่อนมาก ใช่ว่าจะสนิทกับทุกคนเสมอไป ก็จะมีระดับของความสนิทลดหลั่นกันไป
ต้องหาวิธีดีๆ ในการยืดมิตรภาพให้ยาวนานดีๆ เหมือนต้นไม้ถ้าไม่รดน้ำบ้าง มันก็จะเหี่ยวเร็ว

3. เวลา
เมื่อเพื่อนเยอะ เวลาที่อยู่กับเพื่อนฝูงก็เยอะไปด้วย ทำให้เวลาทำงาน และเวลาอยู่กับตัวเอง
รวมไปถึงเวลาที่อยากมีเพื่อไปหาอะไรๆ สนุกๆ ทำด้วยตัวเอง ก็พลอยหดหายไปด้วย
ดังนั้นต้องจัดสรรเวลาใหม่ให้ดี หัดปฏิเสธให้เป็น ศิลปะในการพูดยังคงสำคัญในชีวิตเราอยู่

4. โอกาเนะ
ปีที่ผ่านมาเหมือนตั้งความหวังว่า จะเก็บเงินให้ได้เยอะหน่อย เพราะเป็นปีแรกที่ทำงานเต็มตัว
แต่ก็ไม่สำเร็จเท่าไหร่ ได้มาก็ส่งไปให้ที่บ้านหมดแล้ว ก็โอเคนะสำหรับเงินเก็บในปีแรก
ที่จะตอบแทนครอบครัว มีบ้านใหม่ให้พ่อกับแม่อยู่ ก็คงได้ตอบแทนแค่เสี้ยวส่วนหนึ่งล่ะที่เค้าเลี้ยงเรามา
เราไม่ได้เกิดมาจากกระบอกข้าวหลามนี่เนอะ ชีวิตจะได้มีตัวคนเดียว ทำงานเอง รับเงินเอง ใช้เงินคนเดียว
น่าจะเพียงพอแล้วล่ะสำหรับปีที่ผ่านมา สำหรับเงินหมุนในการสร้างบ้านหลังนึง (ที่ยังต้องผ่อนอีกหลายสิบปี)
เอาว่า ปีนี้จะเก็บเงินส่วนตัวบ้างล่ะ เพราะไม่แน่ใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคตกับตัวเองบ้าง
ถ้ามีเงินสำรองไว้ใช้สักก้อนก็คงดี รัดเข็มขัด ประหยัดหน่อย แต่ใช้ชีวิตให้มีความสุข ละกันในปีนี้

5. ภาษา
สงสัยจะเป็นคนไม่มีความสามารถทางด้านภาษา หรือเป็นคนไม่เอาจริงเอาจังก็ไม่ทราบได้
ภาษาไม่พัฒนาขึ้นเลยในรอบขวบปีทั้งๆ ที่อยู่มาตั้งปีกว่าแล้ว
เอาเป็นว่าปีนี้ เอาใหม่นะ กระตือรือร้นหน่อย ถ้าจะอยู่ญี่ปุ่นให้มีความสุข ภาษาสำคัญเป็นอย่างยิ่งเลย

6. ความขี้เกียจ
ไม่รู้ว่าเพราะอายุมากขึ้นหรือเปล่า หรืออากาศมันเป็นใจ ช่วงหลังๆ มานี้ ตัวขี้เกียจเข้ามาเยือนยุ่บยั่บไปหมด
ตั้งแต่ตื่นสาย (เรียกว่าตื่นเที่ยงเลยดีกว่า) คิดงานไม่ออก ผลงานไม่มี ไม่กระตือรือร้นในเรื่องงาน
รวมถึง การไม่ทำตามที่สัญญากับตัวเองไว้สักทีในหลายๆ เรื่อง
เอาล่ะ คิดได้ดังนี้ ต้องสลัดความขี้เกียจทิ้งไป เลิกเผางาน วางแผนการทำงาน แล้วเราจะมีเวลาเพิ่มมากขึ้น
สร้างวินัยในตัวเอง กินข้าวให้เป็นเวลา ทำทุกนาทีให้มีค่าที่สุด
ลาก่อนนะเจ้าตัวขี้เกียจ ถ้าอยากมาเยี่ยม มาได้แค่อาทิตย์ละวันพอนะ ผมขอร้อง . . .